อาหารเสริมแคลเซียมสำหรับผู้สูงอายุ จำเป็นแค่ไหน

แคลเซียมคืออะไร
แคลเซียม คือ แร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะในการสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน และยังมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และหัวใจ ซึ่งแร่ธาตุแคลเซียมร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ จึงต้องรับมาจากอาหารและอาหารเสริม เมื่อแคลเซียมในร่างกายไม่เพียงพอจะทำให้เป็นโรคกระดูกพรุนและเสี่ยงมีปัญหาด้านกล้ามเนื้อหัวใจ

ทำไมผู้สูงอายุควรได้รับแคลเซียม

  • เพราะความสามารถในการดูดซึมแคลเซียมลดลงตามอายุ
  • วิตามินดีลดลงทำให้ร่างการดูดซึมแคลเซียมได้ลดลง
  • ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องทำให้กระดูกเสื่อมถอย
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ส่งผลิตทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง

ประโยชน์ของอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุ

  • แคลเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างกระดูกและฟัน เสริมสร้างให้กระดูกและฟันแข็งแรง ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูกให้หนาแน่น
  • เมื่อแคลเซียมในร่างการต่ำจะทำให้มวลกระดูกไม่แข็งแรง ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน และยิ่งเสี่ยงมากกับผู้สูงอายุเพราะเมื่อเกิดอุบัติเหตุกับผู้สูงอายุก็เสี่ยงที่จะทำให้กระดูกหัก
  • แคลเซียมสามารถจับกับกรดไขมันและช่วยลดการดูดซึมของไขมัน ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • ภาวะครรภ์เป็นพิษเนื่องจากแคลเซียมไม่เพียงพอ

วิธีเลือกอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุ

  • ควรเลือกแคลเซียมที่ดูดซึมได้ดี
  • การดูดซึมแคลเซียมที่ดีต้องเลือกอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุที่มีวิตามินดีร่วมด้วย
  • ควรหลีดเลี่ยงอาหารเสริมที่มีสารกันบูดหรือสีสังเคราะห์
  • การเลือกอาหารเสริมแคลเซียม ผู้สูงอายุควรเลือกให้เหมาะกับปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับ คือไม่เกิน 800 – 1200 มิลลิกรัม
  • เลือกแบรนด์ที่มีอย.รองรับ

อาหารเสริมแคลเซียมเหมาะผู้สูงอายุแบบไหนบ้าง

  • ผู้ที่มีความเสี่ยงกระดูกพรุน
  • ผู้ที่ไม่สามารถรับประทานนมหรือแพ้นม
  • ผู้สูงอายุเคลื่อนไหวได้ลำบาก
  • ผู้ที่ในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก

สรุป
แคลเซียมเป็นแร่ธาตุที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย แต่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์แคลเซียมขึ้นมาเองได้ดังนั้นการรับประทานอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ควรเสริมสร้างร่างกายให้ดีตั้งแต่วันนี้เพื่อเป็นผลดีกับอนาคต

รวมสารอาหารที่ช่วยให้ข้อเข่าแข็งแรง ที่ไม่ได้มีแค่แคลเซียม

แคลเซียมสำหรับบำรุงข้อเข่าเป็นหนึ่งในอาหารเสริมที่หลายคนให้ความสนใจ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่าเสื่อม ซึ่งนอกจากแคลเซียมแล้ว ยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพข้อเข่าอีกหลายตัว และเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการทานผลิตภัณฑ์แคลเซียมบำรุงข้อเข่าควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารอาหารดังต่อไปนี้อยู่ในส่วนประกอบ

สารอาหารสำคัญในแคลเซียมบำรุงข้อเข่า

  • แคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและข้อ ควรเลือกเป็นแคลเซียมที่ดูดซึมง่าย เช่น แคลเซียมซิเตรต หรือแคลเซียมแลคเตท
  • วิตามินดี (Vitamin D3) ช่วยดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น การขาดวิตามินดีอาจทำให้แคลเซียมที่ทานเข้าไปไม่สามารถนำไปใช้ได้เต็มที่
  • คอลลาเจนไทป์ 2 (Collagen Type II) พบในกระดูกอ่อน ช่วยบำรุงข้อเข่า ลดอาการเจ็บปวดและอักเสบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อเสื่อมหรือเริ่มมีเสียงดังในข้อ
  • กลูโคซามีน (Glucosamine) และคอนดรอยติน (Chondroitin) ช่วยฟื้นฟูผิวกระดูกอ่อน ลดอาการปวดข้อ และเพิ่มน้ำหล่อเลี้ยงข้อ
  • แมกนีเซียม (Magnesium) และซิงค์ (Zinc) เสริมสร้างกระดูกและข้อให้แข็งแรงขึ้น ร่วมกับแคลเซียม

เหมาะกับใคร?

  • ผู้สูงอายุที่เริ่มมีปัญหาปวดข้อ เข่าฝืด
  • ผู้ที่ออกกำลังกายหนัก หรือใช้งานข้อเข่ามาก
  • ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน หรือเสี่ยงกระดูกหักง่าย

เคล็ดลับในการเลือกผลิตภัณฑ์แคลเซียมบำรุงข้อเข่า

  • ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ มีสารอาหารเสริมหลายชนิด รวมทั้งแคลเซียม, วิตามินดี, และคอลลาเจน
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ มีอย.รับรอง และผลิตจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
  • เลือกแบบเม็ดเล็กหรือแคปซูลสำหรับผู้ที่กลืนยาเม็ดยาก

แม้ว่าการทานแคลเซียมจะมีผลดีต่อกระดูก และช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่การรับประทานแคลเซียมในปริมาณที่มากเกินไปไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายแต่อย่างใด ทั้งยังทำให้เกิดโทษอีกด้วย โดยอาจเพิ่มโอกาสที่ทำให้เกิดนิ่วในไตหรือในระบบทางเดินปัสสาวะ หรืออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรือโรคทางสมองบางชนิดได้ ดังนั้นควรที่จะรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมควบคู่กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไปด้วย

ทำความรู้จักกับรากฟันเทียม ครอบฟัน ราคาแพงไหม ?

รากฟันเทียม คือ อวัยวะเทียมที่ใช้ทดแทนรากฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป โดยปัจจุบันวัสดุมีทั้งแบบไทเทเนียม และแบบเซรามิก ซึ่งเข้ากันได้ดีกับร่างกายมนุษย์ มีลักษณะคล้ายสกรูหรือแท่งแกน ฝังลงในกระดูกขากรรไกรบริเวณที่สูญเสียฟัน ทำหน้าที่เป็นฐานรองรับฟันปลอมชนิดต่างๆ เช่นครอบฟัน สะพานฟัน หรือฟันปลอมแบบถอดได้

ผู้ใดที่ควรใส่รากฟันเทียม

การใส่รากฟันเทียมมีหลากหลายสาเหตุที่ควรพิจารณา ดังนี้

  • ผู้ที่สูญเสียฟันหรือฟันหายไป
  • เพื่อรักษาสุขภาพของกระดูกขากรรไกร
  • เพื่อปรับปรุงการเคี้ยวและการพูด
  • ผู้ที่ไม่สามารถใส่ฟันปลอมแบบถอดได้

ผู้ใดที่ไม่ควรใส่รากฟันเทียม

  • ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ เพราะอาจทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนระหว่างการรักษาได้
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง และยังไม่สามารถควบคุมอาการได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ
  • ผู้ที่อยู่ระหว่างรักษาด้วยรังสีบำบัด (Radiation Therapy) บริเวณคอ หรือศีรษะ อาจต้องรับการประเมินเป็นรายคนไป
  • ผู้ที่ขากรรไกรยังไม่หยุดการเจริญเติบโต

รากฟันเทียมมีกี่รูปแบบ

การทำรากฟันเทียมแบ่งได้เป็น 3 รูปแบบหลักๆ ดังนี้

1. การทำรากฟันเทียมแบบดั้งเดิม

การทำรากฟันเทียมแบบดั้งเดิม (Conventional Implant) คือการทำรากฟันเทียมหลังจากถอนฟันซี่ที่มีปัญหาออก จากนั้นรอให้กระดูกและแผลหายสนิท โดยใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพช่องปากและขากรรไกรของแต่ละคน

2. การทำรากฟันเทียมหลังจากถอนฟันทันที

การทำรากฟันหลังจากถอนฟันทันที (Immediate implant placement) คือการใส่รากฟันเทียมทันทีหลังจากถอนฟันเสร็จเลย จากนั้นรอประมาณ 3-6 เดือน เพื่อให้รากฟันเทียมยึดกับกระดูก แล้วจึงครอบฟันหรือทำสะพาน วิธีนี้ประหยัดเวลามากกว่า แต่ต้องให้ทันตแพทย์เฉพาะทางประเมินสภาพช่องปาก และกระดูกขากรรไกรร่วมด้วย

3. การทำรากฟันเทียมพร้อมฟันปลอม

การทำรากฟันเทียมพร้อมฟันปลอม (Immediate loaded implant) คือรากฟันเทียมที่ใส่ร่วมกับครอบฟันในครั้งเดียว

วิธีนี้คือวิธีที่รวดเร็วที่สุด ลดขั้นตอนและเวลารักษาได้มาก แต่ก็มีข้อจำกัดมากเช่นกัน เช่น เหมาะกับตำแหน่งฟันหน้าหรือฟันกรามน้อยเท่านั้น สภาพกระดูกขากรรไกรต้องสมบูรณ์ มีกระดูกเพียงพอในการฝังรากเทียม ลักษณะการสบของฟันเหมาะสม ซึ่งต้องให้ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญประเมินอย่างละเอียด

ทำรากฟันเทียมราคาเท่าไหร่?

  • รากฟันเทียมชนิด OSSTEM Dental lmplantation (OSSTEM) ราคา 50,000 บาท/ซี่
  •  รากฟันเทียมชนิด Straumann Dental lmplantation (Straumann) ราคา 75,000 บาท/ซี่

สรุป  รากฟันเทียม ครอบฟัน ราคาแพงไหม ? การใส่รากฟันเทียมเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันแท้ตามธรรมชาติไป และต้องการใส่ฟันทดแทนที่แข็งแรง ทนทาน ใช้งานได้เหมือนฟันปกติ เงื่อนไขสำคัญในการทำรากฟันเทียมคือต้องมีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง และสามารถไปพบทันตแพทย์ได้หลายครั้งตลอดการรักษา

ข้อดีของการรณรงค์ฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ 2 ในหญิงไทยที่อายุน้อยกว่า 45 ปีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human Papillomavirus หรือเชื้อไวรัส HPV ที่เนื้อเยื่อบุผิวปากมดลูก ทำให้เซลล์บริเวณปากมดลูกเจริญผิดปกติและก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูกในที่สุด โดยสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนวัคซีนมะเร็งปากมดลูกซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันมะเร็งปากมดลูกในผู้ที่ยังไม่พบติดเชื้อมาก่อนอยู่ระหว่างร้อยละ 93 – 95 การรณรงค์วัคซีนมะเร็งปากมดลูกในปี 2025 สามารถรวมหลายแนวทางเพื่อเพิ่มความตระหนักรู้และการรับวัคซีนในประชากรกลุ่มเป้าหมาย

ข้อดีของการรณรงค์ฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกช่วยให้ประสบความสำเร็จ

1. การศึกษาและสร้างความตระหนักรู้

  • จัดทำแคมเปญสื่อมวลชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของวัคซีนมะเร็งปากมดลูก และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนในการป้องกันโรค
  • จัดทำสื่อการศึกษาที่หลากหลายรูปแบบ เช่น วิดีโอ, บล็อก, และอินโฟกราฟิกที่เข้าใจง่าย

2. การเข้าถึงที่ง่ายขึ้น

  • ให้บริการวัคซีนมะเร็งปากมดลูกในที่ตั้งที่สะดวก เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย และชุมชน เพื่อทำให้การเข้าถึงวัคซีนง่ายและสะดวก
  • จัดตั้งมหกรรมสุขภาพเพื่อเพิ่มโอกาสในการฉีดวัคซีน

3. ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพล

  • ทำงานร่วมกับผู้มีอิทธิพลในสังคม เช่น นักกีฬา ดารา หรือผู้นำทางความคิด เพื่อกระตุ้นและเรียกร้องการสนับสนุนจากประชาชน
  • ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ของพวกเขาเพื่อเผยแพร่ข้อความและสร้างแรงบันดาลใจ

4. นโยบายสนับสนุน

  • ผลักดันให้มีนโยบายที่รองรับการฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนทางการเงินหรือการทำให้การฉีดวัคซีนเป็นสิ่งจำเป็น
  • ทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐในการจัดหาและกระจายวัคซีนให้เพียงพอ

5. ติดตามและประเมินผล

  • จัดตั้งระบบติดตามและประเมินผลการฉีดวัคซีนเพื่อวัดประสิทธิภาพของแคมเปญ และปรับปรุงแนวทางในอนาคต
  • ใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับปรุงและต่อยอดแคมเปญในอนาคต

ข้อสรุป

การรณรงค์ฉีดวัคซีนมะเร็งปากมดลูกที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องมีการสื่อสารที่ชัดเจน การเข้าถึงที่ง่าย และการสนับสนุนจากทั้งชุมชนและผู้มีอิทธิพลทางสังคม เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มอัตราการรับวัคซีนในสังคมได้อย่างกว้างขวางครับ

การดูแลรักษาข้อเข่าเสื่อมหลังการผ่าตัด

โรคข้อเข่าเสื่อม ถือเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ซึ่งเกิดจากการใช้งานของข้อเข่ามาเป็นเวลานาน โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือโรคที่เกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนผิวข้อเข่า ทั้งทางด้านรูปร่าง โครงสร้าง การทำงานของกระดูกข้อต่อ และกระดูกบริเวณใกล้ข้อมีการสึกหรอและเสื่อมลงตามอายุ

การดูแลรักษาข้อเข่าเสื่อมหลังการผ่าตัด

การพักผ่อน: หลังการผ่าตัดรักษาข้อเข่าเสื่อม ผู้ป่วยควรพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรกๆ เพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัว

การใช้ยา: แพทย์จะสั่งยาแก้ปวดและอาจมียาต้านการอักเสบ ตามความจำเป็น ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งเพื่อควบคุมอาการปวดและลดการอักเสบ

การฟื้นฟูการเคลื่อนไหว: การเคลื่อนไหวข้อเข่าหลังการผ่าตัดรักษาข้อเข่าเสื่อมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวและป้องกันการติดขัด กายภาพบำบัดจะเริ่มต้นโดยเร็วหลังจากผ่าตัดและต่อเนื่องไปจนกระทั่งผู้ป่วยสามารถเดินได้ดี

การออกกำลังกายเฉพาะเจาะจง: กายภาพบำบัดจะแนะนำการออกกำลังกายที่เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เช่น การยืดเหยียด การยกขา และการเดินบนเทรดมิล

การจัดการกับน้ำหนักตัว: การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเพื่อลดภาระที่ข้อเข่าต้องรับ ซึ่งจะช่วยลดการสึกหรอของข้อเข่าได้

การตรวจติดตามกับแพทย์: การเข้าพบแพทย์ตามนัดหลังการผ่าตัดรักษาข้อเข่าเสื่อมเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อตรวจเช็คความคืบหน้าของการฟื้นฟู และการประเมินสภาพข้อเข่าว่ามีปัญหาหรือความผิดปกติอื่นๆ เกิดขึ้นหรือไม่

การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมในบ้าน: อาจจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบ้านให้เหมาะสมกับสภาพหลังผ่าตัด เช่น การติดตั้งราวจับในห้องน้ำ การจัดหาเก้าอี้นั่งชักโครกที่สูงขึ้น เพื่อช่วยสนับสนุนการเคลื่อนไหว

การรักษาข้อเข่าเสื่อมหรือการผ่าตัดข้อเข่าต้องใช้ความอดทนและความพยายามอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการดูแลที่เหมาะสมและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ผู้ป่วยสามารถคาดหวังการฟื้นตัวที่ดีและการกลับมาใช้ชีวิตปกติได้เร็วขึ้น